การสร้างเสริมสัมพันธภาพ
รายวิชาสุขศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557
สมาชิกในกลุ่ม
นางสาวโชษิตา จารุโภคาวัฒน์ ม.4/3 เลขที่ 1
นายก้องเกียรติ พรโสม ม.4/3 เลขที่ 9
นายพัฒนพงษ์ หวังสว่าง ม.4/3 เลขที่ 16
นายศุภวิชญ์ บุญญศาสตร์พันธ์ ม.4/3 เลขที่ 23
การสร้างเสริมสัมพันธภาพ
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
การสร้างเสริมสัมพันธภาพ
การสร้างเสริมสัมพันธภาพ
การมีสัมพันธภาพที่ดีกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อน และบุคคลอื่นในสังคม
จะทำให้เกิดมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน สร้างความอบอุ่นในครอบครัว สร้างความยอมรับ
ความรักใคร่สมัครสมานสามัคคี และความร่วมมือในกลุ่มเพื่อนและบุคคลรอบข้าง
ดังนั้นการสร้างเสริมสัมพันธภาพจึงเป็นสิ่งที่นักเรียนควรเรียนรู้และนำไปปฏิบัติเพื่อจะได้เกิดความสำเร็จและความสุขในการดำเนินชีวิต
ความหมายและความสำคัญของสัมพันธภาพ
สัมพันธภาพ
(relationship) หมายถึง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล
อันจะทำให้เกิดความรัก ความนับถือ และความร่วมมือ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ
การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข
มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังได้
จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม
จึงมีต้องการติดต่อสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นจะทำให้การติดต่อ
และการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นเป็นไปได้ด้วยดีทำให้เกิดความสุขการดำเนินชีวิตในที่สุด
หลักการสร้างเสริมสัมพันธภาพที่ดีของบุคคล
การสร้างเสริมสัมพันธภาพหรือมิตรภาพที่ดีกับผู้อื่นนั้นจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง
โดยจะต้องรู้จักปรับปรุงตนเองก่อน ซึ่งหลักทั่วไปในการ ปฏิบัติมีดังนี้
1. การสร้างหรือแก้ไขหรือทำให้ตัวเองมีอารมณ์เป็นผุ้ใหญ่
ได้แก่ การเป็นคนมีอารมณ์หนักแน่น ไม่มีความหวาดกลัว หวาดระแวง
ไม่อ่อนแอจนต้องพึ่งผู้อื่นตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนแข็งจนกระด้าง และ
ลักษณะเช่นนี้จะต้องมีความสมบูรณ์ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลงผันแปรง่าย
2. การรู้จักปรับตนเองให้เข้ากับบุคคล
เหตุการณ์ และสถานที่ การรู้จักปรับปรุงตนเองให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ
หรือให้สอดคล้องกับความผันแปรของสังคมนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก ถ้าเรารู้จัก
บทบาทของตนเองว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรในโอกาสไหนแล้ว ก็ย่อมจะไม่มีข้อขัดแย้งกับใคร
3. การรู้จักสังเกต
รู้จด และรู้จำ
การสังเกตจะช่วยให้เราสามารถเข้ากับทุกคน ทุกชั้น ทุกเพศ และทุกวัยได้ดี เช่น
มารยาทในสังคมจะปฏิบัติได้ดีหรือไม่ดีจะอยู่ที่การสังเกตแล้วนำมาปฏิบัติถ้าหมั่นสังเกตก็จะจำได้
แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ควรจดบันทึกไว้แม้กระทั่งผู้ที่เคยพบกันหรือขอความช่วยเหลือจากเขาเพื่อกันลืม
เพราะถ้าหามลืมหรือจำเขาไม่ได้อาจถูกตำหนิได้ว่าเป็นคนหยิ่งยโสหรือลืมคุณคนทำให้เกิดความขัดเคืองใจกันได้
4. การรู้จักตนเอง
รู้จักประมาณตน และรู้จักสถานการณ์ของตน คุณลักษณะเช่นนี้จะทำให้คนรู้จักลดทิฐิ
และเห็นความสำคัญของผู้อื่น ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาด้วย
5. การรู้จักสาเหตุและใช้เหตุผล
การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์วู่วาม
จะทำให้การคบหาสมาคมหรือปฏิบัติงานร่วมกันดำเนินไปด้วยดี
6. การมีความมั่นใจในตนเอง รู้จักเป็นตัวของตัวเอง
บุคคลในครอบครัว
การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัว
การได้อยู่ในครอบครัวที่มีความสัมพันธภาพอบอุ่นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่คนทุกเพศทุกวัยและทุกฐานะ
ปรารถนาและเป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงสมบูรณ์
สมาชิกในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา
หรือลูกก็ตามที่ได้อยู่ในครอบครัวอันอบอุ่นจะรู้สึกว่าอยากกลับบ้านเมื่อเลิกงานหรือเลิกเรียน
อยากมีกิจกรรมกับคนที่บ้าน เช่น รับประทานอาหารเย็นร่วมกันเล่นกีฬาร่วมกัน
มีข่าวร้ายข่าวดีอยากบอกคนที่บ้าน เพื่อให้ความช่วยเหลือหรือร่วมดีอกดีใจด้วย
ส่วนครอบครัวที่มีสัมพันธภาพไม่ดีนั้นไม่มีใครอยากอยู่บ้าน
ไม่มีใครอยากปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับใครทุกคนไขว่คว้าหาความสุขนอกบ้าน
จะกลับบ้านเมื่อจำเป็น เช่น เงินหมด หรือต้องการพักผ่อนนอนหลับเท่านั้น
สัมพันธภาพในครอบครัวเริ่มต้นจากความรักความอบอุ่นของสามีภรรยาที่ดีต่อกัน
เมื่อมีลูกสัมพันธภาพนั้นจะขยายไปสู่ลูก เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ แม่ ลูก
ซึ่งทุกคนเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับประกอบกับมีความผูกพันทางสายเลือดของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
ครอบครัวจึงเป็นแหล่งความรัก ความอบอุ่นที่สำคัญและยั่งยืนกว่าสัมพันธภาพใดๆ
การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวมีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้
1. ความผูกพันในครอบครัว
สามีภรรยาต้องช่วยกับประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ราบรื่นมั่นคงและช่วยกันเลี้ยงดูลูกด้วยความรักและเอาใจใส่
ในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกันใหม่ๆ ความผูกพันฉันสามีภรรยาและพ่อแม่ลูกที่เคยมีถูกตัดหายไป
คนเหล่านี้จะรู้สึกขาดความรักความอบอุ่น ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
โดยเฉพาะเด็กที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้จะรู้สึกว้าเหว่มาก
ดังนั้นการที่จะสร้างเสริมสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัวจึงจำเป็นต้องรักษาความผูกพันไว้เป็นอันดับแรก
ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกนั้นเป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้นด้วยการที่แม่เป็นผู้ให้กำเนิดและฟูมฟักดูแลจนลูกเจริญเติบโต
ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นมีความผูกพันการลูกด้วยการช่วยเลี้ยงดู
ปกป้องคุ้มครองเป็นตัวอย่าง และชี้แนะแนวทางให้ลูกเดินในทางที่ถูกต้อง
สำหรับผู้เป็นลูกนั้นก็ควรให้ความเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนอบรมของพ่อแม่
และแสดงความรักต่อพ่อแม่โดยการขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน
ประพฤติตนเป็นคนดี ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ไม่เกเร เสพสารเสพติด เล่นการพนัน
รวมทั้งปฏิบัติกิจกรรมภายในยามว่างร่วมกับครอบครัว เช่น ออกกำลังกายร่วมกัน ไปเที่ยวนอกบ้านด้วยกัน
นอกจากนี้ความผูกพันที่ครอบครัวไม่ควรละเลยอีกประการหนึ่ง คือ
ความกตัญญูต่อปู่ย่าตายาย การให้ความรักเอาใจใส่
ตอบแทนพระคุณท่านที่ได้เลี้ยงดูแลเรามา
2.การเอาใจใส่ คือ
การให้ความสนใจและสนับสนุนตามความต้องการอย่างเหมาะสม การเอาใจใส่ต้องมีความพอดี
เช่น ลูกจะเรียนแล้วกลับบ้านกี่โมงก็ได้ไม่มีใครสนใจ
จะทำให้ครอบครัวมีสภาพเหมือนต่างคนต่างอยู่ การเอาใจใส่มากเกินไปก็จะทำให้รำคาญ
ไม่เป็นตัวของตัวเองนอกจากนี้การเอาใจใส่ต้องมีความเป็นธรรม
ได้รับความสำคัญเท่าเทียมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกก็ตาม การเอาใจใส่ที่ควรระมัดระวัง คือ
การใช้เงินทดแทนการเอาใจใส่
พ่อแม่ไม่มีเวลาก็ให้เงินลูกไว้ใช้เที่ยวเตร่หรือซื้อของตามที่ต้องการ
เมื่อถึงวันเกิดก็ซื้อของมียี่ห้อราคาแพงให้เพื่อแสดงถึงความสนใจใส่ใจของพ่อแม่
สิ่งเหล่านี้จะสร้างความอบอุ่นแบบจอมปลอมและความเป็นนักวัตถุนิยมให้แก่ลูก
3.ความเข้าใจ
คำนี้เป็นปัญหาสำหรับครอบครัวเสมอมา สามีภรรยาไม่เข้าใจกัน
พ่อแม่ไม่เข้าใจลูกลูกไม่เข้าใจพ่อแม่ สิ่งที่ครอบครัวควรเข้าใจกันก็คือ
ลักษณะนิสัยใจคอ ข้อดี
ข้อบกพร่องของแต่ละคนเพื่อเป็นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันหรือปรับตัวเข้าหากัน เช่น
พ่อชอบบ้านที่เงียบสงบแต่แม่ชอบบ่น
พ่ออาจจะต้องพูดคุยกับแม่ถึงเรื่องหรือสาเหตุที่ทำให้แม่รำคาญใจ
ส่วนพ่อก็ปรับปรุงแก้นิสัยของตนเองให้แม่เกิดความพอใจ
เมื่อพ่อแก้ไขแล้วแม่ก็ควรลดหรือหยุดพฤติกรรมการบ่น
4.การพูดจา เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างหรือทำลายสัมพันธภาพอันอบอุ่นในครอบครัว
นอกจากการพูดจาสุภาพและให้เกียรติกันแล้ว
สมาชิกในครอบครัวควรรู้จักการแสดงความรู้สึกที่ดีต่อกัน เช่น การแสดงความรัก
คำชมเชย การให้กำลังใจ การปลอบใจ การพูดถึงข้อดีและข้อเสนอแนะให้แก้ไขปรับปรุง
ส่วนเมื่อเกินความไม่พอใจหรือความขัดแย้ง
ควรหาโอกาสพูดหรือสื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้าใจถึงความรู้สึกเพื่อปรับความเข้าใจกัน
และในครอบครัวจะไม่มีการพูดจาเกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีการฟัง
ดังนั้นนอกจากการพูดแล้วทุกคนควรยอมรับการรับฟังและความคิดเห็นของกันและกันด้วย
สิ่งที่มักจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัว ได้แก่
สิ่งที่มักจะเป็นอุปสรรคสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัว ได้แก่
1.การอ้างว่าไม่มีเวลา ต้องทำมาหากิน แต่ถ้าเห็นสัมพันธภาพที่อบอุ่นของครอบครัวมีคุณค่าต่อจิตใจของทุกคนในครอบครัว คำกล่าวอ้างนั้นอาจหายไปหรือลดน้อยลง
2.การอ้างว่าให้แล้ว เช่น ให้เงินลูกแล้วอยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาเอง ให้เวลากับครอบครัวแล้วแต่เวลาที่ให้คือดูรายการโทรทัศน์ร่วมกัน
3.การอ้างว่าจะทำให้เหลิง คำนี้มักเป็นคำอ้างของพ่อที่ไม่อยากแสดงท่าทางให้ลูกรู้ว่าพ่อรักลูก ทำให้ลูกกลัวไม่กล้าใกล้ชิดพ่อ ซึ่งบางครั้งกว่าจะถึงเวลาที่พ่อบอกว่ารักลูกก็สายเกินไปเสียแล้ว ความรักความอบอุ่นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ดังนั้นต้องช่วยกันสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นเพื่อความสุขของทุกๆคนในครอบครัว
เพื่อน
การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับเพื่อน
เพื่อนมีความจำเป็นต่อคนเรา เพราะเราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังได้ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะให้ความสำคัญกับเพื่อนเป็นอย่างมาก การได้อยู่กับเพื่อนวัยเดียวกันจะทำให้วัยรุ่นมีผู้ที่คอยร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรับทุกข์ เพราะต่างก็มีปัญหาคล้ายกัน ดังนั้น วัยรุ่นจึงมีความปรารถนาที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน เพราะจะนำมาซึ่งการยอมรับนับถือ ความสัครสมานสามัคคี และร่วมมือกันระหว่างกัน
การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับเพื่อนมีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้
1. รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น นักเรียนต้องมีความเข้าใจในความต้องการของตนและของเพื่อน ยอมรับสภาพความเป็นจริงของตน ไม่ยึดถือข้อบกพร่องใดๆ
ในร่างกายของตนเป็นปมด้อยจนขาดความมั่นใจในการคบหากับผู้อื่น และยอมรับความแตกต่างในตัวเพื่อนกับตัวเอง ไม่อิจฉาริษยาเพื่อนที่มีฐานะดีกว่าหรือมีความสามารถมากกว่า และไม่ยกตนข่มท่านหรือดูถูกเหยียดหยามเพื่อนที่ด้อยกว่าตน แต่ให้ยินดีกับความสำเร็จของเพื่อน และคอยช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อนหากมีโอกาส
2. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักพูด รู้จักฟัง เรียนรู้ที่จะพูดเรื่องต่างๆในจังหวะที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้เพื่อนได้แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อน
เอาใจใส่ในตัวเพื่อน และให้ความสำคัญกับเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตลอดจนมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อเพื่อน
3. มองโลกในแง่ที่เป็นจริง ไม่มองในแง่ดีจนเกินไป
อันอาจถูกหลอกหลวงและคดโกงได้ แต่ก็ไม่ควรมองคนในแง่ร้ายจนเกินไป เพราะจะทำให้เป็นคนใจแคบ ไม่รู้จักการให้อภัย
4. มีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับผิดเมื่อรู้ว่าตนผิด ปฏิเสธในสิ่งที่ตนไม่สามารถทำได้ เมื่อให้สัญญาอย่างไรไว้กับใครก็ต้องพยายามทำตามสัญญานั้นให้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังต้องรู้จักเสียสละและให้อภัยแก่เพื่อนเมื่อเกิดข้อผิดพลาด
โดยทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดนั้น และร่วมมือกับปรับปรุงแก้ไขตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป
5. รู้จักแนะนำและชักชวนเพื่อนปฏิบัติกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์
เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี เรียนภาษาอังกฤษ เรียนคอมพิวเตอร์
เข้าร่วมในกิจกรรมพัฒนาต่างๆ ในชุมชุน
โดยเลือกตามความสนใจและมีความเหมาะสมกับตนเอง
จะได้เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
บุคคลทั่วไป
การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับบุคคลทั่วไป
การมีสัมพันธภาพอันดีกับบุคคลอื่นในสังคมจะทำให้เราเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือ ความพอใจรักใคร่ ความร่วมมือที่ดี
และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข การสร้างเสริมสัมพันธภาพกับบุคคลทั่วไปมีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้
1. รู้จักยอมรับคำติชม เช่น
รับฟังความคิดเห็นหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเราเองด้วยความเต็มใจ
เป็นธรรม ไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และสามารถควบคุมอารมณ์ได้
2. รู้จักมีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี
และควรเป็นคนยิ้มง่าย การที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม กิริยาท่าทางร่าเริงแจ่มใส และเป็นผู้ที่มรอารมณ์ขัน เป็นบุคลิกลักษณะที่ดีและเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้พบเห็นหรือคบหาสมาคมด้วยรู้สึกนิยมชมชอบ เกิดความสุขความสบายใจ
นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่นำไปสู่การต้อนรับและความร่วมมือที่ดี
3. รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่คุยโอ้อวดความสามารถของตน ไม่พูดจาดูถูกหรือยกตนข่มผู้อื่น และรู้จักยอมรับข้อบกพร่องหรือความด้อยของตนเองในด้านต่างๆ
4. รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เช่น
หน้าที่สำคัญของนักเรียน คือ เรียน ครูมีหน้าที่ให้การศึกษาอบรมแก่นักเรียน
นักศึกษา ถ้าทุกคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้วปัญหายุ่งยากต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
5. รู้จักประนีประนอม
เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคขึ้นควรมีการประนีประนอมหรือรอมชอมกัน
ซึ่งแนววิธีการที่คนเราตกลงกันได้อย่างยุติธรรมและมีเหตุผล
6. รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ให้คิดเสมอว่าอะไรที่เราเองไม่ชอบ ไม่ต้องการให้ผู้อื่นกระทำต่อเรา
ก็จงอย่ากระทำสิ่งนั้นต่อบุคคลอื่น และถ้าต้องการให้บุคคลอื่นกระทำสิ่งใดต่อเรา
ก็จงกระทำสิ่งนั้นต่อเขา
7. รู้จักให้กำลังคนอื่น เช่น ยกย่องให้เกียรติ
ให้กำลังใจผู้อื่นด้วยความชมเชย
รู้จักแสดงความชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จของเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมงาน
8. รู้จักไว้วางใจคนอื่น คือ รู้จักไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นบ้างพอสมควร
เพราะคนอื่นอาจจะมีความสามารถด้านต่างๆได้เช่นเดียวกับเรา
นอกจากนี้บางครั้งการประเมินค่าความสามารถของผู้อื่นด้อยเกินไปอาจนำมาซึ่งความผิดหวังได้ด้วย
9. รู้จักร่วมมือกับคนอื่น เช่น
การให้ความร่วมมือกับหมู่คณะในการประกอบกิจกรรมต่างๆของส่วนรวมด้วยความเต็มใจ เพราะการเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ได้ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม
10. รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น เช่น ไม่ควรใช่ทรัพย์สิ่งของของผู้อื่นโดยพลการ ไม่ก้าวก่ายหรือละเมิดสิทธิซึ่งเป็นผลประโยชน์อันชอบธรรมของผู้อื่น
แหล่งอ้างอิง
- http://www.novabizz.com/NovaAce/Relationship/Skill.htm
- http://www.legendnews.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=539338363&Ntype=87
- https://sites.google.com/site/karsrangserimsamphanthphaph/2-5-kar-srang-serim-samphanthphaph-kab-bukhkhl-thawpi
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)